พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541
หลักการ
เป็นกฎหมายที่บัญญัติถึงสิทธิและหน้าที่ระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง
โดยกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำในการจ้างแรงงาน การจัดสถานที่ และอุปกรณ์ในการทำงาน เพื่อให้ลูกจ้างมีสุขภาพอนามัยที่ดี
มีความปลอดภัยในชีวิตและร่างกาย และได้รับค่าตอบแทนตามสมควร
และนายจ้างมีแรงงานที่มีคุณภาพ ซึ่งจะส่งผลต่อความเจริญความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ
ประเทศไทยมีการประกาศใช้กฎหมายคุ้มครองแรงงานทั้งในรูปแบบของพระราชบัญญัติและประกาศคณะปฏิวัติ
และมีการแก้ไขเพิ่มเติมถึงครั้งที่ 3 เพื่อให้กฎหมายทันสมัยและเป็นการส่งเสริมการคุ้มครองสิทธิของลูกจ้าง
ลักษณะของกฎหมายคุ้มครองแรงงาน
- 1. เป็นกฎหมายที่กำหนดแนวทางปฏิบัติของลูกจ้างนายจ้าง
- 2. เป็นกฎหมายที่มีโทษทางอาญา
หากไม่ปฏิบัติตาม
- 3. พนักงานตรวจแรงงานอาจดำเนินคดีทางอาญาต่อนายจ้างได้
แม้ไม่มีการแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษ
- 4. เป็นกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน
แนวคิดในการปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน
- 1. มีทั้งข้อห้ามและข้อปฏิบัติ
ที่นายจ้าง ลูกจ้าง และผู้ที่เกี่ยวข้องควรปฏิบัติตาม
- 2. นายจ้างและลูกจ้างไม่ควรตกลงทำสัญญากัน
โดยกำหนดเงื่อนไขให้ลูกจ้างได้รับสิทธิประโยชน์หรือได้รับการคุ้มครองน้อยกว่าที่กฎหมายบัญญัติ
- 3. นายจ้างไม่อาจที่จะกำหนดข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานหรือระเบียบใดๆ
ในทางรอนสิทธิประโยชน์ของลูกจ้าง
หรือทำให้ลูกจ้างต้องรับภาระมากกว่าที่กฎหมายกำหนด หากฝ่าฝืนจะบังคับไม่ได้
- 4. นายจ้างที่กำหนดข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานหรือระเบียบ
ที่เป็นคุณหรือผลดีแก่ลูกจ้างมากกว่าที่กฎหมายกำหนดย่อมใช้บังคับได้ และมีผลบังคับตลอดไป
จะกลับมาอ้างและปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานไม่ได้
- 5. การปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน
เป็นการปฏิบัติตามมาตรฐานสากลว่าสิทธิแรงงาน
ซึ่งมีประโยชนืต่อการค้าระหว่างประเทศ
การตีความกฎหมาย
(มาตรา
4)
การตีความกฎหมายคุ้มครองแรงงานในส่วนที่บัญญัติกำหนดความผิดและโทษทางอาญาจะต้องตีความโดยเคร่งครัดเช่นเดียวกับกฎหมายอาญา
ส่วนการตีความในกรณีที่มีปัญหาหรือมีข้อสงสัยให้ตีความไปในทางที่จะให้การคุ้มครองลูกจ้างและสร้างบรรทักฐานที่ดีแก่สังคมแรงงาน
ขอบเขตการบังคับใช้
พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน
พ.ศ. 2541
ในการจ้างงานทุกประเภทกิจการ ไม่ว่าจะมีจำนวนลูกจ้างเท่าใด
ยกเว้นแต่กิจการหรือนายจ้างใน 2 ประเภท คือ
- 1. ราชการส่วนกลาง
ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น
- 2. รัฐวิสาหกิจ
ตามกฎหมายว่าด้วยแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์
- 3. นายจ้างตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวง
ที่จำกัดมิให้นำบทบัญญัติใน พรบ. คุ้มครองแรงงานมาบังคับใช้แก่ โรงเรียนเอกชน
และให้นำบทบัญญัติใน พรบ. คุ้มครองแรงงานเพียงบางมาตรามาบังคับใช้กับ งานเกษตรกรรมงานเกษตรกรรมซึ่งมิได้จ้างลูกจ้างตลอดปีและมิได้ให้ลูกจ้างทำงานในลักษณะที่เป็นงานอุตสาหกรรมต่อเนื่องจากงานดังกล่าว
งานที่รับไปทำที่บ้าน งานบ้านที่ไม่มีการประกอบธุรกิจรวมอยู่ด้วย งานที่ไม่แสวงหากำไร
ความหมาย
คำนิยาม
นายจ้าง หมายความว่า ผู้ซึ่งตกลงรับลูกจ้างเข้าทำงานโดยจ่ายค่าจ้างให้
และหมายความรวมถึง
1.ผู้ซึ่งได้รับมอบหมายให้ทำงานแทนนายจ้าง
2.ในกรณีที่นายจ้างเป็นนิติบุคคลให้หมายความรวมถึงผู้มีอำนาจกระทำการแทนนิติบุคคลและผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากผู้มีอำนาจกระทำการแทนนิติบุคคล ให้ทำการแทนด้วย
2.ในกรณีที่นายจ้างเป็นนิติบุคคลให้หมายความรวมถึงผู้มีอำนาจกระทำการแทนนิติบุคคลและผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากผู้มีอำนาจกระทำการแทนนิติบุคคล ให้ทำการแทนด้วย
3.ในกรณีที่ผู้ประกอบกิจการได้ว่าจ้างด้วยวิธีเหมาค่าแรงโดยมอบให้บุคคลหนึ่ง
บุคคลใดรับช่วงไปควบคุมดูแลการทำงานและรับผิดชอบจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างอีกทอดหนึ่ง
ก็ดีมอบหมายให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดเป็นผู้จัดหาลูกจ้างมาทำงาน อันมิใช่การประกอบธุรกิจจัดหางานก็ดี
โดยการทำงานนั้นเป็นส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดในกระบวนการผลิตหรือธุรกิจในความรับผิดชอบ
ของผู้ประกอบกิจการ ให้ถือว่าผู้ประกอบกิจการเป็นนายจ้างของลูกจ้างดังกล่าวด้วย
หมายความว่า ผู้ซึ่งตกลงทำงานให้นายจ้างโดยรับค่าจ้างไม่ว่าจะเรียกชื่อว่าอย่างไร
เช่นอาจเรียกว่าลูกจ้างชั่วคราว ลูกจ้างประจำ
ลูกจ้างทดลองงาน ลูกจ้างซึ่งกำหนดเวลาจ้างไว้ไม่แน่นอน
ลูกจ้างที่ทำงานไม่เต็มเวลา (part time)
ดอกเบี้ยและเงินเพิ่ม
(มาตรา 9)
ดอกเบี้ย หมายถึงเงินที่นายจ้างต้องจ่ายให้แก่ลูกจ้างในระหว่างผิดนัดร้อยละ
15 ต่อปี
เงินเพิ่ม หมายถึง เงินที่นายจ้างต้องจ่ายให้แก่ลูกจ้างในกรณีที่นายจ้างจงใจไม่คืน
หรือไม่จ่ายเงินที่เป็นสิทธิของลูกจ้าง เมื่อพ้นกำหนด 7 วันในอัตราร้อยละ 15 ของเงินที่ค้างจ่ายทุกระยะเวลา 7 วัน
เงินที่นายจ้างจะต้องเสียดอกเบี้ยหรือเงินเพิ่มดังกล่าว ได้แก่เงินดังต่อไปนี้
- 1. เงินประกันที่ต้องคืนแก่ลูกจ้าง
- 2. ค่าจ้าง
ค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุด ค่าลาวงเวลาในวันหยุด
- 3. ค่าชดเชย
- 4. ค่าชดเชยพิเศษ
ส่วนเงินที่นายจ้างต้องจ่ายให้แก่ลูกจ้างตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานในกรณีอื่น
ๆ ลูกจ้างจะเรียกดอกเบี้ยได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้เพียงร้อยละเจ็ดต่อปี
เงินประกันการทำงาน
(มาตรา
10)
ห้ามมิให้นายจ้างเรียกหรือรับเงินประกันการทำงาน หรือเงินประกันความเสียหายในการทำงานจากลูกจ้าง เว้นแต่ลักษณะหรือสภาพของงานที่ลูกจ้างทำนั้นต้องรับผิดชอบเกี่ยวกับเงินหรือทรัพย์สินของนายจ้าง
ในกรณีที่นายจ้างเรียก หรือรับเงินประกัน หรือทำสัญญาประกันกับลูกจ้างเพื่อชดใช้ความเสียหายที่ลูกจ้างเป็นผู้กระทำ
เมื่อนายจ้างเลิกจ้างหรือลูกจ้างลาออก ให้คืนเงินประกันพร้อมดอกเบี้ยให้แก่ลูกจ้างภายในเจ็ดวัน
หลักเกณฑ์และวิธีการเรียกหรือรับเงินประกันมีดังนี้
1. ให้นายจ้างเรียกหรือรับเงินประกันการทำงานจากลูกจ้างได้ไม่เกิน
60 เท่าของค่าจ้างรายวัน
2. งานที่นายจ้างมีสิทธิเรียกเงินประกัน ได้แก่งานต่อไปนี้
2.1งานสมุห์บัญชี
2.2 งานเก็บหรือจ่ายเงิน
2.3 งานเฝ้าหรือดูแลสถานที่หรือทรัพย์สินของนายจ้าง
2.4 งานติดตามหรือเร่งรัดหนี้สิน
2.5 งานควบคุมหรือรับผิดชอบยานพาหนะ
2.6 งานที่มีหน้าที่รับผิดชอบซื้อขาย แลกเปลี่ยน
ให้เช่าทรัพย์ ให้เช่าซื้อ
ให้กู้ยืม รับฝากทรัพย์ รับจำนอง รับจำนำ เก็บของในคลังสินค้า
รับประกันภัย รับโอนหรือรับจัดส่งเงินหรือการธนาคาร
ทั้งนี้เฉพาะลูกจ้างซึ่งเป็นผู้ควบคุมเงินหรือทรัพย์สินเพื่อการที่ว่านั้น
หน้าที่ของนายจ้าง
นายจ้างจะต้องปฏิบัติต่อลูกจ้างดังต่อไปนี้
1. การออกใบสำคัญแสดงการทำงาน ให้แก่ลูกจ้างว่าได้ทำงานนั้นมานานเท่าใดและงานที่ทำนั้นเป็นอย่างไร
(มาตรา 14 ให้นำเอา บทบัญญัติตาม ป.แพ่ง
มาใช้โดยอนุโลม)
2. การจ่ายค่าเดินทางขากลับ ให้แก่ลูกจ้างที่เอามาแต่ต่างถิ่นโดยนายจ้างออกค่าเดินทางขามาให้และเมื่อการจ้างแรงงานสิ้นสุดลง
(มาตรา 14 ให้นำเอา บทบัญญัติตาม ป.แพ่ง
มาใช้โดยอนุโลม)
3. การปฏิบัติต่อลูกจ้างชายและลูกก้างหญิงต้องเท่าเทียมกันเว้นแต่ลักษณะหรือสภาพของงานไม่อาจปฏิบัติให้เท่าเทียมกันได้
(มาตรา 15)
กรณีที่งานมีลักษณะคุณภาพที่เท่าเทียมกัน จะต้องปฏิบัติให้เท่าเทียมกัน ได้แก่
ค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุด ตลอดจนระเบียบ
และคำสั่ง (มาตรา 53 )
การล่วงเกินทางเพศ
(มาตรา 16
)
ห้ามนายจ้างหรือผู้เป็นหัวหน้างาน ผู้ควบคุมงาน ผู้ตรวจงาน กระทำการล่วงละเมิดทางเพศต่อลูกจ้างที่เป็นหญิงหรือเด็ก
การล่วงทางเพศ หมายถึง การกระทำใด ๆ ที่ไม่สมควรอันเป็นการล่วงจารีตประเพณีหรือจรรยามารยาทเพื่อให้บุคคลหนึ่งได้รับสัมผัสทางกาย
หรือได้รับการสื่อสารในเรื่องเกี่ยวกับเพศสัมพันธ์
การเลิกสัญญาจ้าง (มาตรา 17)
ทั้งนายจ้างและลูกจ้างให้ปฏิบัติตามนี้
1.
ถ้าสัญญาจ้างกำหนดระยะเวลาจ้างไว้แน่นอน ลูกจ้างและนายจ้างไม่ต้องบอกเลิกจ้าง สัญญาจ้างจะสิ้นสุดลงตามกำหนดในสัญญาหากบอกเลิกจ้างก่อนกำหนดโดยไม่มีเงื่อนไขที่ชอบ
ถือว่าผิดสัญญาจ้าง
2. ถ้าสัญญาจ้างไม่ได้กำหนดระยะเวลาที่จ้างไว้ การเลิกจ้างต้องบอกล่วงหน้าเป็นหนังสือก่อน
หรือในวันกำหนดจ่ายค่าจ้างหนึ่งคราวก่อนถึงกำหนดจ่ายค่าจ้างครั้งสุดท้ายที่จะเลิกจ้างแต่ไม่จำต้องบอกกล่าวล่วงหน้าเกินสามเดือน
3. ถ้านายจ้างเป็นฝ่ายบอกเลิกสัญญาจ้าง ต้องบอกเลิกจ้างตามข้อ
2. แต่ นายจ้างอาจจ่ายค่าจ้างให้ตามจำนวนที่จะต้องจ่ายจนถึงเวลาเลิกสัญญาตามกำหนดที่บอกกล่าวและให้ลูกจ้างออกจากงานทันทีได้
4. ถ้านายจ้างบอกเลิกจ้าง นายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยตามจำนวนที่กฎหมายกำหนด
หากลูกจ้างมิได้กระทำความผิด
การนับระยะเวลาการทำงาน
การนับระยะเวลาการทำงานกำหนดให้นับดังนี้
1. ให้นับวันหยุด วันลา วันที่นายจ้างอนุญาตให้หยุดรวมด้วยเป็นระยะเวลาทำงานของลูกจ้าง (มาตรา
19)
2. ให้นับระยะเวลาทุกช่วงของการทำงานเข้าด้วยกัน ดังนั้นสัญญาที่นายจ้างทำหลายฉบับเป็นระยะ
ๆ ต้องนับระยะเวลารวมกัน (มาตรา 20)
เวลาทำงานปกติ (มาตรา 23)
การกำหนดเวลาทำงานปกติให้กำหนดดังนี้
1. วันหนึ่งไม่เกิน 8 ชั่วโมง สัปดาห์ หนึ่งไม่เกิน 48 ชั่วโมง
2.งานที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ วันหนึ่งไม่เกิน
7 ชั่วโมงสัปดาห์ละไม่เกิน 42 ชั่วโมง เช่น งานที่ต้องทำใต้ดิน
งานเกี่ยวกับกัมมันตรังสี งานเชื่อมโลหะ
งานขนส่งวัตถุอันตราย งานผลิตสารเคมีอันตราย
เป็นต้น
การทำงานล่วงเวลา(มาตรา 24,
26, 31)
การทำงานล่วงเวลา หมายความว่า การทำงานเกินกว่าเวลาทำงานปกติหรือเกินชั่วโมงการทำงานปกติหรือเกินชั่วโมงทำงานปกติในแต่ละวันที่ตกลงกันไว้
1. ห้ามมิให้นายจ้างให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลาในวันทำงานเว้นแต่ได้รับความยินยอมจากลูกจ้างเป็นคราว
ๆ ไป ในกรณีที่ลักษณะงานต้องทำติดต่อกันถ้าหยุดจะเสียหายแก่งานหรือเป็นงานฉุกเฉินหรือเป็นงานอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
2. ชั่วโมงทำงานล่วงเวลาและชั่วโมงทำงานในวันหยุด เมื่อรวมกันแล้วสัปดาห์หนึ่งต้องไม่เกิน 36 ชั่วโมง
3. ห้ามมิให้นายจ้างให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลาหรือทำงานในวันหยุดในงานที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพและความปลอดภัย
เว้นแต่ลักษณะของงานที่ต้องทำติดต่อกันไป ถ้าหยุดจะเสียหายแก่งานหรือเป็นงานฉุกเฉิน
การทำงานในวันหยุด
วันหยุด หมายความว่า วันที่ให้ลูกจ้างหยุดไม่ต้องทำงาน เช่น
วันหยุดประจำสัปดาห์ วันหยุดตามประเพณี วันหยุดพักผ่อนประจำปี
เป็นต้น
เงื่อนไขการทำงานในวันหยุด
1. ห้ามมิให้ลูกจ้างทำงานในวันหยุด เว้นแต่ในกรณีที่ลักษณะหรือสภาพของงานต้องทำติดต่อกันไป
ถ้าหยุดจะเสียหายแก่งานหรือเป็นงานฉุกเฉินนายจ้างอาจให้ลูกจ้างทำงานในวันหยุดได้เท่าที่จำเป็น
2. นายจ้างอาจให้ลูกจ้างทำงานในวันหยุดได้สำหรับกิจการโรงแรม สถานมหรสพ งานขนส่ง ร้านขายอาหาร สมาคม สถานพยาบาล
3. เพื่อประโยชน์แก่การผลิต การจำหน่าย
และการบริการ นายจ้างอาจให้ลูกจ้างทำงานนอกจากที่กำหนดในข้อ
1 และ 2 ในวันหยุดเท่าที่จำเป็น
วันหยุดของลูกจ้าง
วันหยุดประจำสัปดาห์
(มาตรา 28
)
1. นายจ้างต้องประกาศให้มีวันหยุดประจำสัปดาห์สำหรับลูกจ้าง สัปดาห์หนึ่งไม่น้อยกว่า
1 วัน โดยวันหยุดประจำสัปดาห์ต้องมีระยะห่างกันไม่เกิน
6 วัน(มาตรา 28 )
2. ในกรณีที่ลูกจ้างทำงานในโรงแรม งานขนส่ง
ฯ นายจ้างและลูกจ้างอาจตกลงกันล่วงหน้า สะสมวันหยุดประจำสัปดาห์และเลื่อนไปหยุดเมื่อใดก็ได้แต่ต้องอยู่ในระยะเวลา
4 สัปดาห์ติดต่อกัน
วันหยุดตามประเพณี
(มาตรา
29)
1. นายจ้างจะต้องกำหนดและประกาศให้มีวันหยุดตามประเพณี เช่นวันขึ้นปีใหม่ วันสงกรานต์ วันกรรมกร วันเข้าพรรษา รวมแล้วปีหนึ่งไม่น้อยกว่า 13 วัน
2. ให้นายจ้างพิจารณาวันหยุดตามประเพณีจากวันหยุดราชการประจำปี วันหยุดทางศาสนา หรือขนบธรรมเนียมประเพณีแห่งท้องถิ่น
3. กรณีวันหยุดตามประเพณีใดตรงกับวันหยุดประจำสัปดาห์ของลูกจ้าง
ให้ลูกจ้างได้หยุดชดเชยวันหยุดตามประเพณี ในวันทำงานถัดไป
4.กรณีนายจ้างไม่อาจให้ลูกจ้างหยุดตามประเพณีได้เนื่องจากลูกจ้างทำงานที่มีลักษณะหรือสภาพของงานที่ไม่อาจจะหยุดได้ให้นายจ้างตกลงกับลูกจ้างว่าจะหยุดในวันอื่นชดเชยวันหยุดตามประเพณีหรือนายจ้างจะจ่ายค่าทำงานในวันหยุดให้ก็ได้
วันหยุดพักผ่อนประจำปี
(มาตรา
30)
1. หากลูกจ้างทำงานมาครบ 1 ปี
ลูกจ้างมีสิทธิหยุดพักผ่อนประจำปี หรือหยุดพักร้อน
ไม่น้อยกว่า 6 วัน
2. ในปีที่สองนายจ้างอาจกำหนดวันหยุดพักผ่อนประจำปีให้มากกว่า
6 วันก็ได้
3. กรณีลูกจ้างไม่มีความผิด ให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี
4. ในปีที่เลิกจ้าง หากนายจ้างยังไม่ได้ใช้สิทธิหยุดพักผ่อนประจำปี
ให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีตามสิทธิ
วันลาหยุด
(มาตรา 32-41)
วันลา หมายความว่า วันที่ลูกจ้างลาป่วย
ลาเพื่อทำหมัน ลาเพื่อกิจธุระจำเป็น
ลาเพื่อรับราชการทหาร ลาเพื่อการฝึกอบรม
หรือลาเพื่อคลอดบุตร
วันลาป่วย
ให้ลูกจ้างมีสิทธิลาป่วยได้เท่าที่ป่วยจริง การลาป่วยตั้งแต่ 3 วันขึ้นไป
นายจ้างอาจให้ลูกจ้างแสดงใบรับรองแพทย์ด้วยก็ได้ โดยนายจ้างต้องจ่ายค่าจ้างให้ลูกจ้างในวันลาป่วยปีหนึ่งไม่เกิน
30 วัน (มาตรา 57)
วันลาเพื่อทำหมัน
ให้ลูกจ้างมีสิทธิลาเพื่อทำหมันได้ รวมทั้งวันลาเนื่องจากการทำหมันตามที่แพทย์แผนปัจจุบันชั้น 1 กำหนดและออกใบรับรอง
วันลาเพื่อกิจธุระจำเป็น
นายจ้างจะเป็นผู้กำหนดหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขในการลาเพื่อกิจธุระ อย่างไรก็ได้ การจ่ายค่าจ้างในวันลาเพื่อกิจธุระอันจำเป็นจะกำหนดไว้ในข้อบังคับการทำงาน
วันลาเพื่อรับราชการทหาร
การลาเพื่อเข้ารับราชการทหาร นายจ้างต้องจ่ายค่าจ้างให้ในวันลาดังกล่าวปีละไม่เกิน
60 วัน (มาตรา 58)
วันลาเพื่อการฝึกอบรม
ลูกจ้างมีสิทธิลาเพื่อการฝึกอบรมหรือพัฒนาความรู้ความสามารถ ทั้งนี้โดยแจ้งให้นายจ้างทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 7 วัน นายจ้างอาจไม่อนุญาตก็ได้ถ้าในปีนั้นลามาแล้ว 3 ครั้งหรือเกินกว่า 30 วัน หรือการลานั้นอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อธุรกิจของนายจ้าง
วันลาเพื่อคลอดบุตร
ลูกจ้างมีสิทธิลาเพื่อคลอดบุตรครรภ์หนึ่งไม่เกิน
90 วัน(โดยให้นับวันหยุดในระหว่างวันลาด้วย โดยกฎหมายกำหนดให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างในวันลาคลอดบุตร แต่ไม่เกิน
45 วัน (มาตรา 59)
การใช้แรงงานหญิง
(มาตรา38-43)
1. ห้ามมิให้นายจ้างให้ลูกจ้างหญิงทำงานดังต่อไปนี้
- งานเหมืองแร่หรืองานก่อสร้างที่ต้องทำใต้ดิน ใต้น้ำ ในถ้ำ ในอุโมงค์
หรือปล่องภูเขา เว้นแต่ลักษณะของงานไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพและร่างกายลูกจ้างนั้น
- งานที่ทำบนนั่งร้านสูงจากพื้นดินเกินกว่า 10 เมตร
- งานผลิตหรือขนส่งวัตถุระเบิดหรือวัตถุไวไฟ
- งานที่กฎหมายกำหนดห้าม
2. ในกรณีที่นายจ้างให้ลูกจ้างหญิงทำงานระหว่าง 24.00 - 06.00 น.พนักงานตรวจแรงานเห็นว่าอาจเป็นอันตราย อาจรายงานอธิบดีให้มีคำสั่งเปลี่ยนเวลาทำงานก็ได้
3. ห้ามมิให้นายจ้างให้ลูกจ้างที่เป็นหญิงมีครรภ์ทำงานต่อไปนี้
- ระหว่างเวลา 24.00 - 06.00 น.
- ทำงานล่วงเวลา
- ทำงานในวันหยุด
- ทำงานอย่างหนึ่งอย่างใดต่อไปนี้
- งานเกี่ยวกับเครื่องจักร
เครื่องยนต์ที่มีความสั่นสะเทือน
- งานขับเคลื่อนหรือติดไปกับยานพาหนะ
- งานยก
แบก หาม ทูน ลาก หรือเข็นของหนักเกิน 15 กิโลกรัม
- งานที่ทำในเรือ
4. ในกรณีที่ลูกจ้างซึ่งเป็นหญิงมีครรภ์มีใบรับรองแพทย์ว่าไม่อาจทำงานในหน้าที่เดิมได้
ให้ลูกจ้างมีสิทธิขอเปลี่ยนงานในหน้าที่เดิมเป็นการชั่วคราวให้นายจ้างพิจารณางานที่เหมาะสมให้
5.
ห้ามมิให้นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างซึ่งเป็นหญิงเพราะเหตุมีครรภ์
การใช้แรงงานเด็ก
(มาตรา
44 -52 )
เด็กตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานหมายถึงผู้ที่มีอายุไม่ถึง
18 ปี บริบูรณ์
1. ห้ามมิให้นายจ้างจ้างเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี เป็นลูกจ้าง ดังนั้นลูกจ้างเด็กคือบุคคลอายุ
15 - 18 ปี
2.หน้าที่ของนายจ้างที่จ้างเด็กอายุ 15 - 18 ปี เข้าทำงาน มีดังนี้
- § แจ้งต่อพนักงานตรวจแรงงานนับแต่วันที่เด็กเข้าทำงาน
- § จัดทำบันทึกสภาพการจ้างที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมพร้อมที่จะให้พนักงานตรวจแรงงานเข้าตรวจในวันเวลาทำการ
- § แจ้งการสิ้นสุดการจ้างเด็กต่อพนักงานตรวจแรงงานภายใน
7 วัน นับแต่วันที่เด็กออกจากงาน
3. จัดให้ลูกจ้างเด็กมีเวลาพักผ่อนวันหนึ่งไม่น้อยกว่า 1 ชั่วโมงหลังจากลูกจ้างเด็กทำงานแล้วไม่เกิน 4 ชั่วโมง
4. ห้ามนายจ้างให้ลูกจ้างเด็กทำงานระหว่างเวลา 22.00 - 06.00 น.เว้นแต่เด็กนั้นเป็นผู้แสดงภาพยนตร์ ละคร
5.ห้ามมิให้นายจ้างให้ลูกจ้างเด็กทำงานล่วงเวลา
6. ห้ามนายจ้างให้ลูกจ้างเด็กทำงานที่มีลักษณะเป็นอันตรายต่อสุขภาพและความปลอดภัยของเด็ก
ซึ่งมีทั้งหมด 13 ประเภท
เช่นงานปั๊มโลหะ งานทำความสะอาดเครื่องยนต์
7. ห้ามนายจ้างให้ลูกจ้างเด็กทำงานในสถานที่บางประเภท เช่น โรงฆ่าสัตว์ สถานีขนส่ง
เป็นต้น
8. กำหนดให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างเด็กโดยตรงและห้ามเรียกเงินประกันจากลูกจ้างเด็ก
ค่าตอบแทนในการทำงาน
ค่าตอบแทนในการทำงานตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน มี 4 ประเภท คือ ค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา
ค่าทำงานในวันหยุด และค่าล่วงเวลาในวันหยุด
ค่าจ้าง
(มาตรา 5)
ค่าจ้าง หมายความว่า เงินที่นายจ้างและลูกจ้างตกลงกันจ่ายเป็นค่าตอบแทนในการทำงานตามสัญญาจ้างสำหรับระยะเวลาทำงานปกติเป็นรายชั่วโมง
รายวัน รายสัปดาห์ หรือระยะเวลาอื่น หรือจ่ายให้โดยคำนวนตามผลงานที่ลูกจ้างได้ในเวลาทำงานปกติของวันทำงานและให้หมายรวมถึงเงินที่นายจ้างจ่ายให้ลูกจ้างในวันหยุดและวันลาที่ลูกจ้างมิได้ทำงานแต่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับ
สรุปได้ดังนี้
1.ค่าจ้างต้องจ่ายเป็นเงิน
2. นายจ้างและลูกจ้างตกลงกันไว้ในสัญญาจ้างกำหนดจำนวนเงินที่เป็นค่าจ้าง
3. เงินจำนวนนั้นจ่ายเป็นค่าตอบแทนการทำงาน
4. ค่าจ้างจะจ่ายเป็นค่าตอบแทนการทำงานในเวลาปกติ
วิธีคำนวณค่าจ้างมี
2
วิธี
1. ถือระยะเวลาเป็นสำคัญ เช่น รายชั่วโมง รายวัน รายเดือน
2. ถือผลงานที่ลูกจ้างทำเป็นสำคัญ
ค่าล่วงเวลา
ค่าล่วงเวลา หมายความว่า เงินที่นายจ้างจ่ายให้ลูกจ้างเป็นการตอบแทนการทำงาน
ซึ่งทำมากกว่าเวลาทำงานตามปกติ
ค่าทำงานในวันหยุด
ค่าทำงานในวันหยุด หมายความว่า เงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเป็นการตอบแทนในการทำงานในวันหยด
ค่าล่วงเวลาในวันหยุด
ค่าล่วงเวลาในวันหยุด หมายความว่า เงินที่นายจ้างให้ลูกจ้างเป็นค่าตอบแทนการทำงานล่วงเวลาในวันหยุด
การจ่ายค่าตอบแทนในการทำงาน
(มาตรา 54-64)
1. ให้นายจ้างจ่ายค่าตอบแทนเป็นเงินไทย เว้นแต่จะได้รับความยินยอมจากลูกจ้างให้จ่ายเป็นตั๋วเงินหรือเงินตราต่างประเทศ
(มาตรา 54)
2.ให้นายจ้างจ่ายค่าตอบแทนให้ลูกจ้าง ณ สถานที่ทำงานของลูกจ้าง (มาตรา 55)
3.ให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างสำกรับวันหยุดเท่ากับค่าจ้างวันทำงาน เช่นวันหยุดประจำสัปดาห์
วันหยุดตามประเพณี วันหยุดพักผ่อนประจำปี
4. ให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างในวันลาป่วย ปีหนึ่งไม่เกิน
30 วันลาเพื่อรับราชการทหาร ปีหนึ่งไม่เกิด
60 วัน และลาคลอดบุตรไม่เกิน
45 วัน เท่ากับค่าจ้างรายวันทำงาน
(มาตรา 56)
5. กรณีลูกจ้างได้รับค่าจ้างตามผลงานให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างในวันหยุดหรือวันลาเท่ากับค่าจ้างโดยเฉลี่ยในวันทำงานที่ลูกจ้างได้รับ
(มาตรา 60)
6. การจ่ายค่าจ้างวันลารับราชการทหารให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างให้ลูกจ้างในวันลาเพื่อรับราชการทหาร
ให้จ่ายเท่ากับค่าจ้างในวันทำงานตลอดระยะเวลาที่ลา แต่ปีหนึ่งไม่เกิน 60 วัน (มาตรา 58)
7. การจ่ายค่าล่วงเวลา ให้นายจ้างในอัตราจ่ายไม่น้อยกว่าหนึ่งเท่าครึ่งของอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงในวันทำงานตามจำนวนที่ทำล่วงเวลาในกรณีอัตราค่าจ้างเป็นหน่วยงานต้องจ่ายค่าล่วงเวลาหนึ่งเท่าครึ่งของอัตราต่อหน่วยตามจำนวนผลงานที่ทำ
8.การจ่ายค่าทำงานในวันหยุด ให้นายจ้างจ่ายดังนี้
- § สำหรับลูกจ้างที่มีสิทธิได้รับค่าจ้างในวันหยุดจ่ายเพิ่มอีกไม่น้อยกว่า
1 เท่าของอัตราค่าจ้าง
- § สำหรับลูกจ้างที่ไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างในวันหยุดให้จ่ายไม่น้อยกว่า
2 เท่าของอัตราค่าจ้าง
9. การจ่ายค่าล่วงเวลาในวันหยุด (มาตรา 63)
ให้นายจ้างจ่ายไม่น้อยกว่าสามเท่าของอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงตามจำนวนที่ทำ
10. การจ่ายเงินเพื่อทดแทนกรณีที่นายจ้างไม่ได้จัดวันหยุดให้ (มาตรา 64)
ให้นายจ้างจ่ายค่าทำงานในวันหยุดและค่าล่วงเวลาในวันหยุดให้แก่ลูกจ้างตามอัตราในข้อ 8 และข้อ 9 เสมือนว่านายจ้างให้ลูกจ้างทำงานในวันหยุด
กรณีที่ลูกจ้างไม่มีสิทธิได้รับค่าล่วงเวลา
(มาตรา
65-66)
1.ลูกจ้างที่มีอำนาจหน้าที่หรือซึ่งนายจ้างให้ทำงานอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้ไม่มีสิทธิได้รับค่าล่งเวลา
แต่ลูกจ้างซึ่งนายจ้างให้ทำงานตาม (2) - (8) เช่น
งานเกี่ยวกับขบวนรถไฟ งานเปิดปิดประตูน้ำ งานอ่านระดับน้ำ งานดับเพลิง งานที่มีลักษณะหรือสภาพต้องไปทำนอกสถานที่และไม่อาจกำหนดเวลาได้
งานอยู่เวรเฝ้าดูแลทรัพย์สิน เป็นต้น งานจำพวกนี้มีสิทธิได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินเท่ากับค่าจ้างต่อชั่วโมงในวันทำงานตามจำนวนชั่วโมงที่ทำ
การคำนวณค่าจ้างต่อชั่วโมง (มาตรา68)
เพื่อประโยชน์ในการคำนวณค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุด และค่าล่วงเวลาในวันหยุดในกรณีที่ลูกจ้างได้รับค่าจ้างเป็นรายเดือน
อัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงหมายถึง ค่าจ้างรายเดือนหารด้วย
30 วัน กับจำนวนชั่วโมงทำงานในวันทำงานต่อวันโดยเฉลี่ย
การกำหนดเวลาจ่ายค่าตอบแทน(มาตรา70)
ให้นายจ้างจ่ายค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุด และค่าล่วงเวลาในวันหยุด
ตามกำหนดเวลาดังนี้
1.ในกรณีค่าจ้างเป็นรายเดือน รายวัน หรือรายชั่วโมง
หรือรายระยะเวลาอย่างอื่นที่ไม่เกิน 1 เดือน
หรือตามผลงานโดยคำนวณเป็นหน่วย ๆ ให้จ่ายค่าจ้างเดือนหนึ่งไม่น้อยกว่า
1 ครั้ง
2.ในกรณีคำนวณค่าจ้างนอกจากข้อ 1 ให้จ่ายตามเวลาที่ได้ตกลงกัน
3. ค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุด
และค่าล่วงเวลาในวันหยุด ให้จ่ายค่าจ้างเดือนหนึ่งไม่น้อยกว่า
1 ครั้ง
4.ในกรณีนายจ้างเลิกจ้างลูกจ้าง ให้จ่ายตามที่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับให้แก่ลูกจ้างภายใน
3 วันนับแต่วันเลิกจ้าง
การจ่ายเงินในกรณีที่นายจ้างหยุดกิจการ
(มาตรา
75 )
ในกรณีที่นายจ้างมีความจำเป็นต้องหยุดกิจการทั้งหมดหรือบางส่วนเป็นการชั่วคราว โดยเหตุหนึ่งเหตุใดที่มิใช่เหตุสุดวิสัยให้นายจ้างจ่ายเงินให้ลูกจ้างไม่น้อยกว่าร้อยละ
75 ของค่าจ้างวันทำงานที่ลูกจ้างได้รับก่อนนายจ้างหยุดกิจการ
ตลอดระยะเวลาที่นายจ้างไม่ให้ลูกจ้างทำงาน
เหตุสุดวิสัย หมายความว่า เหตุใด ๆ ที่จะทำให้เกิดภัยพิบัติซึ่งเป็นเหตุที่ไม่อาจป้องกันได้แม้จะได้ระมัดระวังตามสมควรแล้ว
การหักค่าตอบแทนในการทำงาน
(มาตรา76)
ห้ามนายจ้างหักค่าตอบแทนในการทำงาน
แต่มีข้อยกเว้น
5 ประการ ดังนี้
1. หักเพื่อชำระภาษีเงินได้
2. หักเพื่อชำระค่าบำรุงสหภาพแรงงาน
3. หักเพื่อชำระหนี้สหกรณ์ออมทรัพย์และหนี้เพื่อสวัสดิการที่เป็นประโยชน์แก่ลูกจ้างฝ่ายเดียว
4. หักเพื่อเงินประกันหรือเพื่อชำระค่าเสียหายให้แก่นายจ้าง
5. หักเพื่อเป็นเงินสะสมเข้ากองทุนเงินสะสม
คณะกรรมการค่าจ้าง
(มาตรา
78-91)
คณะกรรมการค่าจ้างเป็นองค์กรไตรภาคี ประกอบด้วยกรรมการ 3 ฝ่าย ฝ่ายละ 5 คน คือฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายนายจ้าง และฝ่ายลูกจ้าง คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่หลายอย่าง
เช่นการกำหนดอัตราค่าจ้าวขั้นต่ำพื้นฐาน เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจและสังคม
อัตราค่าจ้างขั้นต่ำตามที่กฎหมายกำหนดมี
3 ประเภท คือ
1. ค่าจ้างขั้นต่ำพื้นฐาน เป็นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำสุดสำหรับประเทศไทยในทุกท้องที่
2. อัตราค่าจ้างขั้นต่ำเฉพาะท้องถิ่น ซึ่งจะแตกต่างกันไปในแต่ละท้องถิ่น
3. อัตราค่าจ้างขั้นต่ำเฉพาะประเภทกิจการ ซึ่งแตกต่างกันไปตามประเภทอุตสาหกรรม
การประกาศค่าจ้างขั้นต่ำ
1. ประกาศกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำให้ใช้บังคับแก่นายจ้างและลูกจ้าง
ไม่ว่านายจ้างและลูกจ้างจะมีเชื้อชาติใด ศาสนาใด หรือเพศใด (มาตรา 89)
2. เมื่อประกาศกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำมีผลใช้บังคับแล้วห้ามมิให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างแก่ลูกจ้างน้อยกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ
(มาตรา 90)
3. ให้นายจ้างที่อยู่ในข่ายบังคับของประกาศกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำปิดประกาศดังกล่าวไว้ในที่เปิดเผยเพื่อให้ลูกจ้างได้ทราบ
ณ สถานที่ทำงานของลูกจ้างตลอดระยะเวลาที่ประกาศดังกล่าวมีผลใช้บังคับ(มาตรา
90 วรรค 2)
อัตราค่าจ้างขั้นต่ำดังกล่าวบังคับใช้แก่นายจ้างทุกประเภทกิจการที่อยู่ในบังคับของกฎหมายคุ้มครองแรงงานนี้
สวัสดิการ
(มาตรา
92-99)
กฎหมายกำหนดให้มีคณะกรรมการสวัสดิการแรงงาน ซึ่งเป็นองค์กรไตรภาคี ประกอบด้วยกรรมการ
3 ฝ่ายฝ่าย ฝ่ายละ
5 คน คือฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายนายจ้าง และฝ่ายลูกจ้าง คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่สำคัญคือ เสนอความเห็นต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานในการออกกฎกระทรวง
ประกาศหรือระเบียบเกี่ยวกับการจัดสวัสดิการในสถานประกอบการ(มาตรา
93)
ปัจจุบันยังไม่มีกฏฎกระทรวงว่าด้วยการจัดสวัสดิการที่นายจ้างต้องปฏิบัติ ดังนั้นจึงต้องปฏิบัติตามประกาศกระทรวงมหาดไทยหรือประกาศกระทรวงแรงงาน
ซึ่งออกตามประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่
103
ความปลอดภัย
(มาตรา
100-107)
กฎหมายกำหนดให้มี คณะกรรมการความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน
ซึ่งเป็นองค์กรไตรภาคี ประกอบด้วยกรรมการ
3 ฝ่ายฝ่าย ฝ่ายละ
5 คน คือฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายนายจ้าง และฝ่ายลูกจ้าง คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่สำคัญคือ เสนอความเห็นต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานในการออกกฎกระทรวงประกาศหรือระเบียบ
การจัดทำเอกสารการจ้าง
เอกสารการจ้าง กฎหมายกำหนดให้ทำ 3 ประเภท
ดังนี้
1. ข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน ซึ่งเป็นเอกสารที่นายจ้างเป็นผู้ทำขึ้นเพื่อกำหนดสิทธิ
หน้าที่ และแนวทางปฏิบัติต่อกันระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง
ซึ่งต้องเป็นไปตามกฎหมาย นายจ้างที่มีลูกจ้างตั้งแต่
10 คนขึ้นไป ต้องทำข้อบังคับเกี่ยวแก่การทำงานและประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน
2. ทะเบียนลูกจ้าง กฎหมายกำหนดให้นายจ้างที่มีลูกจ้างตั้งแต่
10 คนขึ้นไปต้องจัดทำทะเบียนลูกจ้างเป็นภาษาไทยเก็บไว้ในสถานที่ประกอบกิจการในสำนักงานของนายจ้างพร้อมที่จะให้พนักงานตรวจแรงงานในเวลาทำการตรวจและเก็บไว้ไม่น้อยกว่า
2 ปี
3. เอกสารเกี่ยวกับการจ่ายค่าจ้าง นายจ้างต้องจัดทำเอกสารเกี่ยวกับการจ่ายค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุด ซึ่งต้องมีรายการต่อไปนี้
วันและเวลาทำงาน ผลงานที่ทำได้สำหรับลูกจ้างซึ่งได้รับค่าจ้างตามผลงานโดยคำนวณเป็นหน่วย
เมื่อมีการจ่ายค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุดให้แก่ลูกจ้างให้นายจ้างจัดให้ลูกจ้างลงลายมือชื่อในเอกสารดังกล่าวไว้เป็นหลักฐาน
กรณีนายจ้างจ่ายค่าจ้างโดยการโอนเข้าบัญชีเงินฝากในธนาคารพาณิชย์หรือสถาบันการเงินอื่น หลักฐานทางการเงินเช่นว่านั้น ถือเป็นเอกสารการจ่ายเงินดังกล่าวข้างต้น
การพักงาน
นายจ้างจะสั่งพักงานได้ต่อเมื่อกรณีดังกล่าวต่อไปนี้
1. ลูกจ้างได้ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง
2. นายจ้างประสงค์จะทำการสอบสวนลูกจ้างและพักงานลูกจ้างนั้น
3. มีข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานหรือข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง
ซึ่งระบุว่านายจ้างมีอำนาจสั่งพักงานลูกจ้างได้
4. นายจ้างได้แจ้งให้ลูกจ้างทราบก่อนการพักงานนั้นแล้ว
เงื่อนไขในการให้พักงาน
1. นายจ้างจะต้องจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างตลอดระยะเวลาที่ให้ลูกจ้างพักงานเต็มจำนวน
หรือตามที่ตกลงกันไว้
2. ถ้าปรากฏว่าลูกจ้างไม่มีความผิดนายจ้างต้องจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างในระหว่างพักงานโดยหักส่วนที่จ่ายไปแล้ว
เหลือเท่าใดต้องจ่ายพร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมาย
การจ่ายค่าชดเชย
ค่าชดเชย หมายถึง เงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเมื่อเลิกจ้างนอกเหนือจากเงินประเภทอื่นซึ่งนายจ้างตกลงจ่ายให้แก่ลูกจ้าง
การเลิกจ้าง หมายถึง การกระทำใด ๆ ที่นายจ้างไม่ให้ลูกจ้างทำงานอีกต่อไปและไม่จ่ายค่าจ้างให้
ไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุสิ้นสุดสัญญาจ้าง หรือเหตุอื่นใดปละหมายความรวมถึงกรณีที่ลูกจ้างไม่ได้ทำงานและไม่ได้รับค่าจ้างเพราะเหตุที่นายจ้างไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้
เงินที่นายจ้างจ่ายให้ลูกจ้างเมื่อออกจากงานตามระเบียบของนายจ้างนั้น ไม่ถือว่าเป็นเงินค่าชดเชย เช่น เงินบำเหน็จ เงินบำนาญ เงินกองทุนเลี้ยงชีพ เงินสะสม เป็นต้น
ประเภทของค่าชดเชย
1. ค่าชดเชยกรณีปกติ เมื่อมีเหตุเลิกจ้างตามปกติทั่วไปตามกฏหมายและไม่เข้าข้อยกเว้นของการจ่ายค่าชดเชย ลูกจ้างมีสิทธิได้รับค่าชดเชยตามปกติ
2. ค่าชดเชยกรณีพิเศษ มี
3 กรณี คือ
2.1
ค่าชดเชยพิเศษกรณีย้ายสถานประกอบการ
นายจ้างย้ายสถานประกอบกิจการไปตั้ง ณ สถานที่อื่นอันมีผลกระทบสำคัญต่อการดำรงชีวิตตามปกติของลูกจ้างหรือครอบครัว
นายจ้างต้องแจ้งล่วงหน้าให้ลูกจ้างทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วันก่อนย้ายถ้าลูกจ้างไม่ประสงค์จะไปทำงานด้วย ลูกจ้างมีสิทธิบอกเลิกสัญญาจ้างได้โดยได้รับค่าชดเชยพิเศษไม่น้อยกว่าที่ลูกจ้างพึงได้รับตามอัตราค่าชดเชยปกติตามม.118นายจ้างอาจจ่ายค่าชดเชยพิเศษแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย
30 วันแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าก็ได้ (ม. 120)
2.2 ค่าชดเชยพิเศษกรณีนำเครื่องจักรหรือเทคโนโลยีใหม่มาใช้
ในกรณีที่นายจ้างจะเลิกจ้างลูกจ้างเพราะเหตุปรับปรุงหน่วยงานกระบวนผลิตการจำหน่าย
หรือการบริการอันเนื่องมาจากการนำเครื่องจักรมาใช้หรือเปลี่ยนแปลงเครื่องจักรหรือเทคโนโลยีซึ่งเป็นเหตุให้ต้องลดจำนวนลูกจ้างลง
นายจ้างต้องแจ้งวันที่จะเลิกจ้างเหตุผลของการเลิกจ้างและรายชื่อลูกจ้างที่จะถูกเลิกจ้างให้ลูกจ้าง
และพนักงาน ตรวจแรงงานทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 60 วันก่อนวันที่จะเลิกจ้าง
- - หากไม่แจ้งล่วงหน้าหรือแจ้งล่วงหน้าน้อยกว่าระยะเวลา
60 วัน นอกจากนายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยปกติตามมาตรา 118
แล้วนายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยพิเศษ แทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่ลูกจ้างเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย
60 วันหรือเท่ากับค่าจ้าง ของการทำงาน 60 วันสุดท้าย สำหรับลูกจ้างซึ่งได้รับค่าจ้างตามผลงานโดยคำนวณ
เป็นหน่วย (มาตรา 121)
- - ในกรณีที่ลูกจ้างทำงานติดต่อกันเกิน
6 ปีขึ้นไปนายจ้างจะต้องจ่ายค่าชดเชยพิเศษเพิ่มขึ้นจากค่าชดเชยปกติไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้าย
15 วันต่อการทำงานครบ 1 ปี
หรือไม่น้อยกว่าค่าจ้างของการทำงาน 15 วันสุด ท้ายต่อการทำงานครบ
1 ปีสำหรับลูกจ้างซึ่งได้รับค่าจ้างตามผลงานโดยคำนวณเป็นหน่วย
แต่ค่าชดเชยพิเศษนี้ รวมแล้วต้องไม่เกินค่าจ้างอัตราสุดท้าย 360 วัน หรือไม่เกินค่าจ้างของการทำงาน 360 วันสุดท้าย
สำหรับ ลูกจ้างซึ่งได้รับค่าจ้างตามผลงานโดยคำนวณเป็นหน่วย โดยระยะเวลาทำงานที่มากกว่าหนึ่ง
180 วันให้นับเป็น การทำงานครบ 1 ปี
จำนวนเงินค่าชดเชย
ค่าชดเชยกรณีปกติ (มาตรา 118)
อายุการทำงานติดต่อกัน
|
อัตราจ่ายค่าชดเชย
|
ทำงาน 120 วัน - ไม่ครบ 1 ปี
|
30 วัน
|
ทำงาน 1 ปี - ไม่ครบ 3 ปี
|
90 วัน
|
ทำงาน 3 ปี - ไม่ครบ 6 ปี
|
180 วัน
|
ทำงาน 6 ปี - ไม่ครบ 10 ปี
|
240 วัน
|
10
ปีขึ้นไป
|
300 วันขึ้นไป
|
พฤติการณ์ที่ถือเป็นการเลิกจ้าง
(มาตรา
118)
มาตรา
118 กำหนดไว้ 2 กรณี
ดังนี้
1. การกระทำใดที่นายจ้างไม่ให้ลูกจ้างทำงานต่อไปและไม่จ่ายค่าจ้างให้ไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุสิ้นสุดสัญญาจ้างหรือเพราะเหตุอื่นใด
2. กรณีที่ลูกจ้างไม่ได้ทำงานและไม่ได้ค่าจ้างเพราะเหตุที่นายจ้างไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไป
ข้อยกเว้นที่นายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย
(มาตรา
118 - 119)
1. นายจ้างไม่ต้องจ่ายในกรณีเลิกจ้าง 2 กรณี
- § ลูกจ้างทำงานไม่ครบ
120 วัน
- § ลูกจ้างที่มีกำหนดระยะเวลาการจ้างไว้แน่นอนและเลิกจ้างในงานที่ไม่ใช่ปกติของธุรกิจการค้าของนายจ้าง
ในงานโครงการที่มีระยะเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดที่แน่นอน
งานมีลักษณะเป็นครั้งคราว หรืองานที่เป็นไปตามฤดูกาล เป็นต้น ซึ่งงานตามประเภทที่กล่าวมาต้องแล้วเสร็จภายในระยะเวลาไม่เกิน
2 ปี
2. นายจ้างไม่ต้องจ่ายในกรณีลูกจ้างทำผิด (มาตรา 119) ดังนี้
2.1 ทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำผิดอาญาโดยเจตนาแก่นายจ้าง
- § ทุจริตต่อหน้าที่
หมายถึงแสวงหาประโยชน์อันมิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย สำหรับตัวลูกจ้างเองหรือบุคคลอื่น
ทั้งนี้โดยที่ลูกจ้างอาศัยโอกาสที่ปฏิบัติหน้าที่เป็นช่องทางแสวงหาผลประโยชน์
ประโยชน์ที่ได้รับต้องเป็นทรัพย์สิน หรือทำให้นายจ้างเสียหาย
- § กระทำความผิดอาญาโดยเจตนาแก่นายจ้าง หมายถึง ลูกจ้างกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา โดยตั้งใจจะกระทำต่อนายจ้างหรือบุคคลที่ถือว่าเป็นนายจ้างหรือต่อกิจการของนายจ้าง
ไม่ว่าจะทำในฐานะตัวการ ผู้ใช้ หรือผู้สนับสนุนก็ตาม
2.2 จงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหาย
- § จงใจ หมายถึง เจตนาประสงค์ต่อผล
- § จงใจให้นายจ้างได้รับความเสียหาย
หมายถึงการกระทำใด ๆ ที่ลูกจ้างประสงค์ให้เกิดความเสียหายแก่นายจ้างไม่ว่าความเสียหายจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ก็ตามและนายจ้างจะได้รับความเสียหายมากน้อยเพียงใด
2.3 ประมาทเลินเล่อทำให้นายจ้างได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง
- § ประมาท หมายความว่า ทำงานปฏิบัติหน้าที่โดยขาดความระมัดระวังตามวิสัยจองปกติชน
หรือตามปกติวิสัยของการประกอบอาชีพเช่นนั้น
- § เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรง
หมายความว่าเกิดความเสียหายเป็นจำนวนมาก
2.4 ฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน หรือ
ระเบียบ คำสั่ง ของนายจ้าง
ซึ่งนายจ้างได้เตือนเป็นหนังสือแล้ว เว้นแต่กรณีที่นายจ้างไม่จำเป็นต้องตักเตือน การฝ่าฝืนมี
2 กรณี คือ
1. กรณีร้ายแรง คือทำให้เกิดความเสียหายอย่างมากแก่นายจ้าง
นายจ้างเลิกจ้างได้ในการกรทำความผิดครั้งแรกของลูกจ้างโดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย
2.กรณีไม่ร้ายแรง นายจ้างต้องตักเตือนลูกจ้างก่อน
ถ้าลูกจ้างกระทำผิดในเรื่องเดียวกันซ้ำอีกภายใน
1 ปีนับจากลูกจ้างกระทำผิดครั้งแรก นายจ้างมีสิทธิเลิกจ้าง
2.5 ละทิ้งหน้าที่เป็นเวลา 3 วันทำงานติดต่อกัน
ไม่ว่าจะมีวันหยุดคั่นหรือไม่
ลูกจ้างสามารถไปทำงานตามปกติได้แต่ไม่ไปทำงานโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร และไม่ไปทำงาน 3 วันติดต่อกัน
- ได้รับโทษจำคุก
กรณีนี้ต้องได้รับโทษจำคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุดให้ตำคุก เว้นแต่เป็นโทษที่ได้กระทำโดยประมาท
การยื่นคำร้องกรณีนายจ้างไม่ปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน(มาตรา 123-125)
1.ให้ยื่นคำร้องต่อพนักงานตรวจแรงงานในท้องที่
2. กรณีลูกจ้างถึงแก่ความตาย ทายาทโดยชอบธรรมมีสิทธิยื่นคำร้องหรือขอดำเนินการต่อกรณีที่ได้ยื่นคำร้องไว้แล้ว
3. พนักงานตรวจแรงงานต้องสอบสวนและมีคำสั่งภายใน 60 วัน (อาจขอขยายเวลาออกไปได้อีก 30 วัน)
4. แจ้งให้ลูกจ้างหรือนายจ้างทราบ ถ้าลูกจ้างมีสิทธิได้รับเงินตามกฎหมาย
นายจ้างต้องจ่ายให้ลูกจ้างภายใน 15 วันนับแต่วันที่ทราบคำสั่ง
5. ถ้านายจ้างหรือลูกจ้างไม่พอใจคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานก็มีสิทธินำคดีขึ้นสู่ศาลแรงงาน
(ฟ้องศาล) ภายใน 30 วันนับแต่วันที่รับทราบคำสั่ง ถ้าไม่นำคดีขึ้นสู่ศาลภายในกำหนด
ถือว่าคำสั่งดังกล่าวถึงที่สุด จะนำมาฟ้องร้องอีกไม่ได้
ถ้านายจ้างเป็นฝ่ายนำคดีขึ้นสู่ศาล นายจ้างต้องวางเงินจำนวนที่ถึงกำหนดจ่ายตามคำสั่งของพนักงานตรวจแรงงานจึงจะมีสิทธิฟ้องคดีได้
ทั้งนี้เพื่อไม่ให้เป็นการฟ้องคดีเพื่อประวิงการจ่ายเงินตามกฎหมาย
อายุความฟ้องคดีแรงงาน
เนื่องจากตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน ไม่ได้กำหนดอายุความฟ้องร้องไว้เป็นอย่างอื่น อายุความของสิทธิเรียกร้องจึงเป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
สิทธิเรียกร้อง
|
อายุความ(ปี)
|
ค่าจ้าง
|
2
|
ค่าจ้างวันหยุดพักผ่อนประจำปี
|
2
|
ค่าล่วงเวลา
|
2
|
ค่าทำงานในวันหยุด
|
2
|
ค่าชดเชย
|
10
|
ค่าชดเชยพิเศษ
|
10
|
ดอกเบี้ย
|
5
|
เงินเพิ่ม
|
5
|
อำนาจของพนักงานตรวจแรงงาน
(มาตรา
139)
พนักงานตรวจแรงงานเป็นเจ้าหน้าที่ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งขึ้น มีอำนาจตรวจตรา ดูแล สั่งการ เพื่อให้มีการปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมายพนักงานตรวจแรงงานมีอำนาจหน้าที่
ดังนี้
1. เข้าไปในสถานประกอบการของนายจ้างและสถานที่ทำงานของลูกจ้างเพื่อตรวจสภาพการทำงานและสภาพการจ้าง
2. มีหนังสือสอบถามและเรียกนายจ้าง ลูกจ้าง
หรือบุคคลที่เกี่ยวข้องมาชี้แจง หรือให้ส่งของหรือเอกสารที่เกี่ยวข้องมาประกอบการพิจารณา
3. มีคำสั่งเป็นหนังสือให้นายจ้างและลูกจ้างปฏิบัติให้ถูกต้องตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน
พ.ศ. 2541
บทกำหนดโทษ
(มาตรา
144-159)
กฎหมายคุ้มครองแรงงานกำหนดโทษไว้
9 ระดับ โดยโทษต่ำที่สุด คือมีโทษปรับไม่เกิน
5,000 บาทและโทษสูงที่สุด มีโทษจำคุกไม่เกิน
1 ปี ปรับไม่เกิน
200,000 บาท
นอกจากกฎหมายจะเอาโทษต่อนายจ้างหรือลูกจ้างที่เกี่ยวข้องกับความผิดแล้ว ยังให้เอาผิดกับกรรมการผู้จัดการหรือบุคคลซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินการของนิติบุคคลด้วย
การเปรียบเทียบปรับ
ถ้าเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจเปรียบเทียบปรับ(อธิบดีกรมสวัสดิการ
ฯ และผู้ว่าราชการจังหวัด) เห็นว่าผู้กระทำผิดไม่ควรถูกลงโทษจำคุกหรือไม่ควรถูกฟ้องร้องต่อศาล
เจ้าพนักงานดังกล่าวอาจกำหนดค่าปรับและให้นำค่าปรับมาชำระภายในกำหนดเวลา
คดีอาญาเป็นอันเลิกกัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น